ปัญหา 'โยโย่ เอฟเฟค' แม้มิได้รับการพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ทว่ากลับทำให้หลายคนกังวลใจว่าจะกลับมาอ้วนอีกครั้งหรือไม่ หลายครั้งผู้คนมักเข้าใจผิดว่า 'การลดน้ำหนัก' จะช่วยให้เราได้ทรวดทรงเอวบางดังวาดในความคิด แต่แท้ที่จริงแล้วการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงต่างหากจึงจะเป็นการดูแลรูปร่างที่ยั่งยืน
และเพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวของคุณดีดตัวเหมือนลูกข่างโยโย่กลับสู่มือ การรู้และรับมือถึง Yoyo Effect ก็เป็นสิ่งจำเป็น
โยโย่ เอฟเฟค (Yoyo Effect) คือความไม่สมดุลของร่างกาย ซึ่งเกิดจากการลดน้ำหนักที่ไม่ถูกวิธี หลาย ๆ คนอาจคิดว่า โยโย่นั้นเกิดขึ้นได้จากการทานยาลดน้ำหนัก พอหยุดทานแล้วก็จะเกิดอาการโยโย่ขึ้นมา แต่แท้จริงแล้ว โยโย่เอฟเฟ็กต์ เกิดขึ้นได้กับการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสมดุลอย่างรวดเร็ว พอกลับเข้ามาสู่ภาวะเดิม กลับกลายเป็นว่าน้ำหนักตัวจะพุ่งขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะที่ร่างกายคิดว่าตัวเราขาดสารอาหาร เมื่อเราอดอาหารหรือลดน้ำหนักเร็วเกินไป ร่างกายก็จะลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน เพื่อทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานน้อยลง นอกจากนี้ยังมีการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เมื่อเรากลับมาทานอาหารปกติ กลับกลายเป็นว่าร่างกายเผาผลาญน้อยลง สารอาหารไม่ได้ถูกนำไปใช้ แต่กลับเก็บเข้าไปสะสมในร่างกาย กลายเป็นภาวะโยโย่ เมตาบอลิซึมของร่างกายเสียไป ทำให้การลดน้ำหนักหลังการโยโย่นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
ภาวะโยโย่ เอฟเฟค มีผลเสียอย่างมากต่อร่างกาย ได้มีการศึกษาและค้นพบว่าทุก ๆ 1 กิโลกรัมของน้ำหนักที่เปลี่ยนไป จะเพิ่มอัตราการเสี่ยงของโรคหัวใจถึง 4% และเพิ่มอัตราการเสียชีวิตถึง 9% เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการลดน้ำหนักเราจึงควรลดน้ำหนักให้ถูกวิธี การลดน้ำหนักอย่างช้า ๆ ลดปริมาณเซลล์ไขมันจำกัดพลังงานส่วนเกินที่ทานเข้าไปในร่างกาย ให้น้อยกว่าพลังงานที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ควรรับประทานอาหารไม่น้อยกว่า 1,250 แคล/วัน ควรลดน้ำหนักอย่างช้า ๆ ใน 1 เดือนไม่เกิน 2 กิโลกรัม เพื่อที่จะทำให้การเผาผลาญอาหารไม่เสียไป