แผลเป็นส่งผลอะไรกับความมั่นใจ ในการใช้ชีวิต ?
ขึ้นชื่อว่าแผลเป็น คงไม่มีใครอยากให้เกิด เพราะมันคือร่องรอย ความผิดพลาดในอดีต ที่บางคนไม่อยากจดจำ
ยิ่งถ้าหากเป็นในบริเวณที่มองเห็นง่าย หรืออยู่นอกร่มผ้า ก็ยิ่งบั่นทอนความมั่นใจ ทำให้ไม่กล้าแต่งชุดสวยๆ โชว์ผิวสุขภาพดี เสื้อเอวลอยตัวโปรด กางเกงขาสั้นตัวที่ชอบ ก็ไม่อยากใส่อีกต่อไป เมดดิไซน์ คลินิก เล็งเห็นปัญหานี้ และให้ความสำคัญกับความมั่นใจของทุกคน เราจึงมีโปรแกรมรักษาปัญหาแผลเป็นเฉพาะบุคคล ที่จะช่วยผ่อนแก้ปัญหาจากหนักให้เป็นเบาลง ช่วยบรรเทารอยแผลเป็น คืนความมั่นใจให้กับทุกคน ทำให้คุณกล้าที่จะใส่ชุดแบบไหนก็ได้ ที่คุณชอบ!
ทำความรู้จัก “รอยแผลเป็น” มีกี่แบบ ?
1. แผลเป็นปกติ (Normal scar)
แผลเป็นที่เกิดจากการสมานแผลแบบปกติ ผิวเรียบ สีใกล้เคียงกับผิวเดิม ไม่มีการยกนูนหรือยุบตัว มักจะจางลงเรื่อยๆ ภายใน 6–18 เดือน ไม่จำเป็นต้องรักษา ถ้าหากไม่ได้ซีเรียสเรื่องความงาม หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
2. แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar)
เกิดจากการที่ร่างกาย ผลิตคอลลาเจนมากเกินไป ระหว่างการฟื้นตัวของแผล ส่งผลให้แผลนูนขึ้นจากผิวหนังเดิม
แต่ยังอยู่ในขอบเขตของแผลเดิม มักเกิดกับบริเวณแผลผ่าตัด แผลที่มีแรงตึง หรือแผลที่หายช้า อาจจางลงได้เองบางส่วนใน 1–2 ปี
3. แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid)
แผลเป็นยอดฮิต ที่แผลลุกลาม และเลยขอบเขตของแผลเดิมใหญ่ออกไปด้านข้าง และมีลักษณะที่นูน แข็ง ส่วนใหญ่มักมีอาการคัน หรือ เจ็บแปล๊บๆร่วมด้วย แผลคีลอยด์เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากจนผิดปกติ พบได้บ่อยในคนเอเชีย และมีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วย
4. แผลเป็นยุบตัว (Atrophic scar)
แผลเป็นยุบตัว หรือแผลที่มีลักษณะบุ๋ม หรือเว้าลงไปในผิว เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนใต้เนื้อเยื่อผิว เช่น แผลสิว ฝี หรือแผลหลังการติดเชื้อ พบมากในบริเวณใบหน้า หน้าท้อง เช่น รอยแตกลายบางประเภท
วิธีรักษาหรือบรรเทาปัญหารอยแผลเป็น ตามแต่ละชนิด ?
1. แผลเป็นปกติ (Normal Scar)
การดูแลโดยส่วนใหญ่ มักเน้นที่การทาซิลิโคนเจลหรือแผ่นซิลิโคน เพื่อคงความชุ่มชื้น ลดความแดง และช่วยให้แผลจางไวขึ้น โดยไม่ต้องทำหัตถการ
2. แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar)
วิธีที่ได้ผลดี ได้แก่ การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณรอยแผลเป็น หรือการใช้แผ่นซิลิโคนร่วมกับแรงกด และการใช้เลเซอร์เพื่อลดรอยแดง ลดความนูน เช่น Fractional Laser หรือ PDL Laser หรือหัตถการตัวล่าสุดอย่าง Ultraclear Laser
3. แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid)
การรักษาอาจใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ ร่วมกับยากดการแบ่งเซลล์ (เช่น 5-FU), การเลเซอร์, หรือการผ่าตัดร่วมกับการป้องกันการเกิดซ้ำ เช่น การใส่แผ่นซิลิโคน หรือการฉายรังสีระดับต่ำหลังผ่าตัด
4. แผลเป็นยุบตัว (Atrophic Scar)
รักษาได้โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ เช่น Microneedling, RF Microneedling, เลเซอร์ชนิด Ablative (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) และการเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์ในกรณีที่รอยบุ๋มลึก
สรุปสิ่งสำคัญ สำหรับการรักษารอยแผลเป็น ?
การเลือกวิธีรักษาแผลเป็น ให้เหมาะกับลักษณะหรือชนิดของแผลนั้นสำคัญมาก เพราะหากรักษาไม่ตรงจุด ก็อาจไม่ได้ผล หรือทำให้แผลเป็นลุกลามหนักกว่าเดิม สิ่งสำคัญคือการวินิจฉัย การประเมินของแพทย์ผู้ทำการรักษา รวมไปถึงการวางแนวทางในการรักษาให้เหมาะกับชนิดของแผล ก็จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ดีขึ้น
Medisci Aging Intelligence
Redefine Age, Redesign the best version of You